Sunday, November 19, 2006
Monday, November 13, 2006
Wednesday, August 03, 2005
ตำราพิชัยสงครามซุนวู - บทที่ ๓ นโยบายศึก
บทที่ ๓ นโยบายศึก
๑. SUNTZU กล่าวไว้
กฎของสงครามโดยทั่วไป
สยบประเทศข้าศึกไม่เสียเลือดเนื้อเป็นโยบายหลัก
ใช้กำลังทางทหารเข้าตีประเทศข้าศึกแตกจึงสยบประเทศข้าศึกได้เป็นนโยบายรอง
สยบกองทัพข้าศึกไม่เสียเลือดเนื้อเป็นโยบายหลัก
ใช้กำลังทางทหารเข้าตีกองทัพข้าศึกแตกจึงสยบกองทัพข้าศึกได้เป็นนโยบายรอง
สยบหน่วยทหารข้าศึกไม่เสียเลือดเนื้อเป็นโยบายหลัก
ใช้กำลังทางทหารเข้าตีหน่วยทหารข้าศึกแตกจึงสยบหน่วยทหารข้าศึกได้เป็นนโยบายรอง
" รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งยังมิใช่ยอด สยบข้าศึกได้ไม่ต้องรบ เป็นยอดนักรบ"
๒. เพราะฉะนั้นสุดยอดของการสงครามก็คือ เข้าโจมตีแผนลับข้าศึกให้แตก จากนั้นตีความสามัคคีข้าศึก ตีสัมพันธไมตรีของกลุ่มพันธมิตรข้าศึกให้แตก สุดท้ายหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วจึงใช้กำลังทางทหารเข้าตีกำลังทหารข้าศึก สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการเข้าตีป้อมปราการที่มั่นที่เข้มแข็งของข้าศึก การเข้าตีดังกล่าวจะเป็นเฉพาะเมื่อไม่มีหนทางอื่นแล้ว และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้วเท่านั้น
การเข้าตีป้อมปราการที่มั่นที่เข้มแข็งของข้าศึก ต้องใช้เวลาเตรียมการนาน และต้องพร้อมจริงๆ จึงทำได้ ซึ่งในระหว่างเตรียมการหากแม่ทัพนายกองไม่สามารถระงับความเกรียวกราดได้ยกกำลังเข้าทำการรบแตกหักก่อนที่การเตรียมการจะพร้อม ทหาร ๑ ใน ๓ จะต้องตาย แม้กระนั้นป้อมปราการที่มั่นของข้าศึกก็จะยังไม่แตก นี้คือผลเสียของการโจมตีป้อมปราการที่มั่นของข้าศึก
นักรบผู้ชำนาญมิได้ใช้การต่อสู้เพื่อสยบข้าศึก ป้อมปราการที่มั่นข้าศึกแตกก็มิใช่ด้วยการโจมตีตรงหน้า ประเทศข้าศึกต้องพินาศลงก็มิใช่ด้วยศึกสงครามยืดเยื้อ ใช้วิธีชนะโลก ชนะโดยไม่เสียเลือดเนื้อ ด้วยเหตุนี้ ทหารหาญก็ไม่เหนื่อยอ่อน ผลประโยชน์ที่ได้รับย่อมเป็นผลประโยชน์สูงสุด
"นี่คือกฎของนโยบายในการทำศึกสงคราม"
๓. กฎของสงครามโดยทั่วไปเมื่อมีกำลัง ๑๐ เท่าเข้าโอบล้อม เมื่อมีกำลัง ๕ เท่าเปิดเกมรุก เมื่อเท่ากันให้สู้ ถ้าน้อยกว่าให้ถอย ถ้ากำลังปะทะกันไม่ได้ให้หลบซ่อน โดยปกติกำลังน้อยกว่าปะทะตรงหน้ากับกำลังที่มากกว่าย่อมทำไม่ได้เป็นทางปกติ กำลังที่น้อยนิดคิดแต่จะใช้ความห้าวหาญ รังแต่จะถูกจับเป็นเชลยของกำลังที่มากกว่าเท่านั้น
๔. โดยทั่วไป แม่ทัพมีหน้าที่ช่วยเหลือชาติ ถ้าหน้าที่นั้นสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้นำประเทศ ชาตินั้นต้องเข้มแข็งแน่นอน ถ้าหน้าที่นั้นขัดแย้งกับผู้นำประเทศ ชาตินั้นต้องอ่อนแอแน่นอนฉะนั้น
สิ่งที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับการศึกสำหรับผู้นำประเทศมี ๓ ประการ ได้แก่ :-
- ไม่รู้ว่าไม่ควรใช้กำลังทหาร สั่งให้ใช้กำลังทหาร ไม่รู้ว่าไม่ควรถอย สั่งให้ถอย
- ไม่รู้เรื่องภายในกองทัพ แต่เข้ามาปกครองกองทัพร่วมกับแม่ทัพ
- ไม่เข้าใจวิธีใช้กำลังทหาร แต่เข้ามาบังคับบัญชาทหาร
เมื่อใดที่ทหารอยู่ในความหลง ความงงงวยแปลกใจสงสัย ต่างชาติจะยกทัพเข้ามาและชัยชนะของกองทัพที่สับสนก็จะจากหายไป
๕. ฉะนั้น มี ๕ สิ่งที่ต้องรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับชัยชนะ ได้แก่ :-
- เมื่อไรควรรบเมื่อไรไม่ควรรบ ระมัดระวังผลได้ผลเสียรอบคอบ .... ชนะ
- เข้าใจการใช้กำลังใหญ่ กำลังเล็ก นอกแบบในแบบ .... ชนะ
- ประสานจิตใจคนทุกชั้นได้ .... ชนะ
- เตรียมการดีปะทะที่ประมาท .... ชนะ
- แม่ทัพนายกองมีความสามารถ ผู้นำประเทศไม่แทรกแซงกิจการภายในกองทัพ .... ชนะ
๕ ประการนี้เป็นวิธีเข้าใจชัยชนะ ดังนั้น "เมื่อ รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งปราศจากอันตรายรู้สถานการณ์ฝ่ายเขา ไม่รู้ฝ่ายเรา แพ้บ้างชนะบ้างไม่รู้เขา ไม่รู้เรา กล่าวได้ว่ารบทุกครั้งรังแต่จะมีอันตราย"
Chapter Three: Planning Attacks
Sun-tzu said:
Generally in warfare, keeping a nation intact is best, destroying a nation second best;
keeping an army intact is best, destroying an army second best;
keeping a battalion intact is best, destroying a battalion second best;
keeping a company intact is best, destroying a company second best;
keeping a squad intact is best, destroying a squad second best.
Therefore, to gain a hundred victories in a hundred battles is not the highest excellence;
to subjugate the enemy's army without doing battle is the highest of excellence.
Therefore, the best warfare strategy is to attack the enemy's plans, next is to attack alliances, next is to attack the army, and the worst is to attack a walled city.
Laying siege to a city is only done when other options are not available.
To build large protective shields, armored wagons, and make ready the necessary arms and equipment will require at least three months.
To build earthen mounds against the walls will require another three months.
If the general cannot control his temper and sends troops to swarm the walls, one third of them will be killed, and the city will still not be taken.
This is the kind of calamity when laying siege to a walled city.
Therefore, one who is skilled in warfare principles subdues the enemy without doing battle, takes the enemy's walled city without attacking, and overthrows the enemy quickly, without protracted warfare.
His aim must be to take All-Under-Heaven intact.
Therefore, weapons will not be blunted, and gains will be intact.
These are the principles of planning attacks.
Generally in warfare:
If ten times the enemy's strength, surround them;
if five times, attack them;
if double, divide them;
if equal, be able to fight them;
if fewer, be able to evade them;
if weaker, be able to avoid them.
Therefore, a smaller army that is inflexible will be captured by a larger one.
A general is the safeguard of the nation.
When this support is in place, the nation will certainly be strong.
When this support is not in place, the nation will certainly not be strong.
There are three ways the ruler can bring difficulty to the army:
To order an advance when not realizing the army is in no position to advance, or to order a withdrawal when not realizing the army is in no position to withdraw.
This is called entangling the army.
By not knowing the army's matters, and administering the army the same as administering civil matters, the officers and troops will be confused.
By not knowing the army's calculations, and taking command of the army, the officers and troops will be hesitant.
When the army is confused and hesitant, the neighboring rulers will take advantage.
This is called a confused and hesitant army leading another to victory.
Therefore, there are five factors of knowing who will win:
- One who knows when he can fight, and when he cannot fight, will be victorious;
- one who knows how to use both large and small forces will be victorious;
- one who knows how to unite upper and lower ranks in purpose will be victorious;
- one who is prepared and waits for the unprepared will be victorious;
- one whose general is able and is not interfered by the ruler will be victorious.
These five factors are the way to know who will win.
Therefore I say:
One who knows the enemy and knows himself will not be in danger in a hundred battles.
One who does not know the enemy but knows himself will sometimes win, sometimes lose.
One who does not know the enemy and does not know himself will be in danger in every battle.
ปรัชญาเมิ่งจื่อ (6)
ดังคำกล่าวของขงจื่อที่ว่า "(คนเรา)อาศัยในท่ามกลางความเมตตาอารีย่อมเป็นสิ่งอันงาม(ควร) หากเลือกที่จะไม่อยู่ในที่อันงาม(ควร)แล้ว จะ(ถือว่า)มีปัญญาได้อย่างไร?"
ความมีเมตตา คือบรรดาศักดิ์อันทรงเกียรติแห่งฟ้า เป็นแหล่งพักพิงอันสถิตสถาพรยิ่งของมนุษย์ ไม่มีผู้ใดสามารถกางกั้นความมีเมตตาจิต หากไม่เลือกอยู่ในที่อันควรแล้ว นั่นคือปัญญาไม่กระจ่างแจ่มจิต คนที่ไร้เมตตาไร้ปัญญา ไร้จรรยาไร้คุณธรรม เพียงคู่ควรกับการเป็นทาสรับใช้ผู้อื่น ความรู้สึกอัปยศอดสูต่อการเป็นทาสรับใช้ เสมือนหนึ่งผู้สร้างคันธนูที่ละอายต่อการสร้างคันธนู และผู้สร้างลูกธนูที่ละอายต่อการสร้างลูกธนู หากรู้สึกละอายใจ มิสู้(หันมา)ปฏิบัติตนด้วยเมตตา ผู้มีเมตตาธรรมเป็นเช่นดั่งมือธนู ที่ต้องจัดระเบียบร่างกายของตนเองก่อนจะปล่อยลูกธนูออกไป หากยิงไม่ถูกเป้า ก็ไม่กล่าวโทษผู้ที่ได้ชัยชนะเหนือตน เพียงหันกลับมาพิจารณาหาเหตุอันเกิดแต่ตนเท่านั้น
Sunday, May 29, 2005
ปรัชญาเมิ่งจื่อ (5)
Monday, April 11, 2005
ปรัชญาเมิ่งจื่อ (4)
เมิ่งจื่อกล่าวว่า "อันว่าหญิงงามดั่งไซซีแม้นถูกห่อหุ้มด้วยสิ่งอันเป็นปฏิกูลแล้ว ผู้คนย่อมจะปิดจมูกเดินหนีห่างไป ทว่าคนผู้หนึ่งแม้มีรูปโฉมอัปลักษณ์ แต่หากมีน้ำใจงาม อยู่ในศีลอันใสสะอาดทั้งกายใจ ย่อมจะสามารถกระทำการบวงสรวงต่อบรรพกษัตริย์"
จริยที่ไร้ซึ่งจรรยา ธรรมที่ไร้ซึ่งคุณธรรม ผู้มีจริยธรรมอันดีย่อมไม่(ลดตัว)ไปกระทำ
Sunday, April 03, 2005
ปรัชญาเมิ่งจื่อ (3)
เก้าจื่อกล่าวว่า "อันว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นเปรียบได้กับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก หากเปิดทางออกทางทิศตะวันออกก็ไหลไปทางตะวันออก เปิดทางออกตะวันตกก็ไหลไปทางตะวันตก ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่อาจแบ่งแยกดีเลว คล้ายกับสายน้ำที่ไม่แบ่งแยกทิศทางออกตก "
Saturday, April 02, 2005
ขงเบ้ง - มังกรซ่อนกาย
"วุยก๊ก" นำโดย โจโฉ ปกครองแคว้นเหนือ และ "ง่อก๊ก" แคว้นทางใต้ ปกครองโดย ซุนกวน
ขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับ "ขงเบ้ง" หรือคนฮกเกี้ยน เรียกชื่อว่า จูกัดเหลียง ภาษาจีนกลางออกสำเนียงเป็น จูเก๋อเหลียง
ขงเบ้งนั้นเป็นชาวนานักวิชาการ รักชีวิตสันโดษ ชอบธรรมชาติ ยึดมั่นในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แม้ว่าบิดาของขงเบ้งเป็นขุนนาง แต่ก็ไม่ยอมใช้เส้นเข้ารับราชการให้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ได้ชวนน้องชาย จูกัด กิ๋น ไปทำไร่ทำนาใกล้ป่าเขาชื่อ โงลังกั๋ง เมืองหนานหยาง มณฑลชานตุง มีอาชีพเสริมปลูกต้นหม่อนเลี้ยงไหม
เวลาว่างจากการทำงานก็ศึกษาหาความรู้วิชาพยากรณ์อากาศ รู้ลึกซึ้งถึงขั้นมีผู้ขนานนามว่า "ผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร" ขงเบ้งอ่านตำราพิชัยสงครามโบราณ จนได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในทางยุทธศาสตร์ชั้นยอดเยี่ยม มีสมญานามว่า "ฮกหลง" แปลเป็นไทยว่า "มังกรซ่อนกาย"
กิตติศัพท์ความเป็นนักปราชญ์ของขงเบ้งเลื่องลือเข้าหูเล่าปี่ เล่าปี่จึงอยากได้ขงเบ้งมาเป็นคู่คิดที่ปรึกษา เล่าปี่เดินทางไปหาขงเบ้งโดยฝ่าตะลุยหิมะพายุหนาวถึงสามครั้ง จึงได้พบขงเบ้ง แม้ขงเบ้งไม่อยากพบแกล้งนอนหลับตั้งแต่เช้าถึงเย็น เล่าปี่ก็สู้รอด้วยกิริยาสำรวมไม่ถือเอาความสะดวกของตนเป็นใหญ่ให้ลูกน้องของขงเบ้งไปปลุกให้ตื่น ขงเบ้งจึงใจอ่อน เห็นเล่าปี่มีความสุจริตใจในการที่จะรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว ทั้งมาหาด้วยความอ่อนน้อมไม่ถือตัวเบ่งว่าเป็นพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ขงเบ้งจึงยอมทิ้งไร่นาไปช่วยเล่าปี่รบกับโจโฉ
เพียงอายุ 27 ปี ขงเบ้งผู้มีความรู้เรื่องพยากรณ์อากาศและทิศทางลมพัด เข้าบัญชาการรบครั้งแรก เผาทัพหน้าของโจโฉหนึ่งแสนคนด้วยคบเพลิงไม่กี่อัน และไขน้ำท่วมทัพหนุนของโจโฉ พออายุ 28 ปี เป็นทูตใช้วาทศิลป์เจรจากับซุนกวนแห่ง "ง่อก๊ก" มาเป็นพวก รวมยำใหญ่ทัพเรือโจโฉที่ชายทะเลกังตั๋ง เผาทหารเรือของโจโฉตายไปกว่าแปดแสนคน
ขงเบ้งเป็นผู้ที่รอบรู้ในตำราพิชัยสงคราม รู้เรื่องภูมิประเทศทั่วแผ่นดินจีน การพยากรณ์อากาศ และสามารถหยั่งการณ์ในอนาคตได้ คนจีนจึงเข้าใจผิดคิดว่าขงเบ้งมีเวทมนตร์คาถาอาคม เรียก น้ำ ลม ไฟ ได้
หลังจาก กวนอู เตียวหุย เล่าปี่ ตายจากโลกไป ขงเบ้งรับปากกับเล่าปี่ว่า จะรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งให้อยู่ใต้การปกครองของตระกูลเชื้อสายของเล่าปี่ จึงยกกองทัพไปตี "วุยก๊ก" แคว้นทางเหนือของโจโฉ ก่อนที่จะลงใต้ตีง่อก๊กของซุนกวน ในการรบนั้น ขงเบ้งใช้กลอุบายแยบยลเอาชนะข้าศึกเสมอ ดั่งคราที่ สุมาอี้ เสนาบดีของ "วุยก๊ก" ยกทัพใหญ่เข้าประชิดเมือง คราวจวนตัวและคับขันเช่นนี้ ขงเบ้งแก้ปัญหาโดยจัดฉากให้บ้านเมืองดูเป็นปกติ เปิดประตูเมืองไว้ แล้วตนนั่งเล่นพิณในหอคอยบนกำแพงอย่างสบายอารมณ์
สุมาอี้ คิดว่าเป็นกลลวงของขงเบ้งจึงสั่งให้ทัพใหญ่ของตนล่าถอยไม่เข้าโจมตีเมืองของขงเบ้ง ซึ่งถ้าสุมาอี้เข้าโจมตีก็มีโอกาสชนะมากกว่าแพ้เพราะกำลังทหารมีมากกว่าของขงเบ้ง
แล้วอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ขงเบ้งจะสิ้นใจตาย ได้สั่งการว่า อย่าให้สุมาอี้รู้ว่าขงเบ้งตาย ให้ทำรูปปั้นคนถือพัดขนนกยืนอยู่บนรถรบสองล้อเทียมม้าศึก ลวงสุมาอี้ สุมาอี้เห็นรูปปั้นนั้นแต่ไกล คิดว่าเป็นขงเบ้ง จึงตกใจสั่งทัพให้ล่าถอยไป สุมาอี้แม้เป็นผู้มีปัญญาแต่กลัวขงเบ้งครับ
ขงเบ้งนั้นไม่โกงกิน และคอรัปชั่นเชิงนโยบาย กอบโกยเพื่อลูกเมียให้เป็นเศรษฐี สั่งการก่อนตายว่า
"ข้าพเจ้ามีต้นหม่อนเลี้ยงไหมอยู่แปดร้อยต้น นาห้าสิบไร่ พอเลี้ยงลูกเมียข้าพเจ้า ทรัพย์สินนอกนั้นขอยกให้แผ่นดินจีนเลี้ยงดูทหารชั้นผู้น้อย"
ภาษาอังกฤษผิดประจำ 4 - The Misuse of "That"
"I had no idea the house was that small."
"As a pianist he isn't really that good."
"If the weather is that bad you had better stay at home."
อย่างไรก้ตาม แม้จะใช้กันอย่างกว้างขวาง การใช้ that ในลักษณะนั้นถือว่า "ผิด" และควรหลีกเลี่ยง
ประโยคที่ถูกต้องควรจะเป็น
"I had no idea that house was as small as that."
"As a pianist he isn't really as good as that."
"I f the weather is as bad as that you had better stay at home."
คำว่า that ยังถูกใช้บ่อยแทนคำว่า so เช่น
"I was that happy I could have cried."
"I went to the pictures three that week, the film was that exciting."
คำว่า "that happy" และ "that exciting" ควรจะเป็น "so happy" และ "so exciting" ตามลำดับ
และคำ "that much" และ "that many" ก็ควรจะเป็น "as much as that" และ "as many as that" ตามลำดับเช่นกัน
ภาษาอังกฤษผิดประจำ 3 - As to, As regards, With regard to
เรียบเรียงประโยคข้างต้นให้สั้นและง่ายได้ว่า
" Greater understanding for us would result from an improvement in communication."
"As to the children," we might read , "they are enjoying their holiday immensely."
ทำให้ง่ายได้ว่า
"The children are enjoying their holiday immensely."
อย่างไรก็ตาม อาจเป็นไปได้ว่าการที่ผู้เขียนๆประโยคแรกแบบนั้นเพราะได้เกริ่นถึงสมาชิกอื่นๆในครอบครัวนอกเหนือจากเด็กๆไว้ก่อน ต่อมาจึงได้อ้างไปถึงเด็กๆ
แทนการใช้คำว่า "As to" เราอาจจะเคยใช้ "As for", "As regards", "With regard to", หรือคำที่ผิดหลักไวยากรณ์คือ "Regarding"
คำว่า Regarding นั้นเป็นการใช้ที่ "ผิด" เพราะเป็น unattached present participle คือ เด็กๆไม่ได้กำลัง regarding ตัวเอง
คำทั้ง 4-5 คำข้างต้นนั้นค่อนข้างใช้สะดวกเพราะสั้นกว่าการที่จะกล่าวอย่างเต็มรูปแบบคือ "On the subject of the children, I can report that they are enjoying their holiday immensely."
อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ คำว่า Regarding นั้นไม่เป็นที่ยอมรับตามหลักไวยากรณ์ (ตามที่กล่าวข้างต้น)
ส่วน As regards ก็เป้นคำที่ค่อนข้างไม่ชัดเจนในแง่ความหมาย
"As to" และ "As for" เป็นคำที่เหมาะที่จะใช้ได้
ส่วน "With regard to" เป็นคำที่ยอมรับมากที่สุดในบรรดาคำข้างต้น